แชร์

อย่างไร? เป็นการกระทำที่เป็นความผิด " เบิกความเท็จ " ในคดีอาญา เป็นอย่างไร?

อัพเดทล่าสุด: 6 เม.ย. 2025
495 ผู้เข้าชม

           ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177  เป็นบทลงโทษ  ผู้ที่กระทำความผิด โดยรู้ความจริง และนำความเท็จมากล่าวต่อศาล   ด้วยเจตนาที่รู้ความจริง และไม่กล่าวความจริง  นำความเท็จมากล่าวต่อศาล ในการสืบพยานคดีอาญา

            ด้วยเนื่องจากผู้กล่าวนั้น มีสาเหตุโกรธเคืองกับคู่กรณีในคดีความนั้น  หรือ   เจตนากล่าวความเท็จทั้งๆที่รู้ความจริง   ว่าไม่มีการกระทำความผิด  เช่น  ไม่มีการกระทำที่เป็นการใส่ความผู้ใด  แต่ผู้นั้น รู้ความจริง และกล่าวว่ามีการใส่ความเกิดขึ้น

            การกล่าวความเท็จในคดีอาญา ต้องมีการกล่าวในขณะมีการสืบพยานเท่านั้น  และเป็นการสืบพยานต่อหน้าศาล  รวมทั้ง กรณีสืบพยานผ่านระบบจอภาพของศาล ตามระเบีบบของประธานศาลฎีกา

             การกล่าวความเท็จ  ในกรณีที่มีสาเหตุโกรธเคืองกับคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง  เพราะเคยมีคดีความกันมาก่อน   มีการฟ้องร้องกันหลายคดี  ฟ้องร้องในลักษณะแก้เกี้ยว  ไม่มีการกระทำความผิด  แต่รู้ความจริง มาเบิกความในลักษณะยืนยันว่า มีการกระทำความผิดตามฟ้อง  ซึ่งไม่เป็นความจริง  เจตนากล่าวความเท็จในการสืบพยานว่ามีการกระทำความผิด  เหล่านี้มีโทษหนัก

            กฎหมาย ไม่ประสงค์ให้มีการกล่าวเท็จในคดีอาญา และคดีแพ่ง   กรณีที่มีกล่าวความเท็จในคดีอาญาและคดีแพ่งมีความผิดและเป็นโทษจำคุก   เพราะเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย

             ด้วยความจริง ว่ามีการใส่ความให้เสียหายต่อชื่อเสียงหรือไม่   ความจริงว่า เห็นการกระทำความผิดที่เป็นการใส่ความหรือไม่   เหล่านี้ เป็นข้อความจริงที่ต้องกล่าวต่อศาล   เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีของศาล

             กรณีที่ไม่พอใจคู่ความ  แล้วนำความเท็จมากล่าว กันในหลายคดี  ย่อมเป็นความร้ายแรงในลักษณะของคดีความ  เพราะเป็นการกระทำที่รู้ความจริงอยู่แล้ว และยังกล่าวเท็จในการสืบพยานหลายๆครั้ง ในแต่ละคดี  เป็นเหตุในลักษณะคดีที่ร้ายแรง  ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวความซึ่งเป็นคู่กรณี กัน  และเป็นความเสียหายที่ร้ายแรงมาก

             การกล่าวความเท็จต่อศาลนั้น  ผู้เสียหายโดยตรงคือ คู่ความในคดีนั้นๆ  ไม่ใช่ทนายความ ไม่ใช่ศาล   ไม่ใช่พนักงานอัยการ   ดังนั้น  ถ้ามีการกล่าวเท็จ   คู่ความในคดีนั้นๆ  ซึ่งเป็นผู้เสียหายย่อมฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาเบิกความเท็จนั้นได้ตามกฎหมาย

             การกล่าวความเท็จ นั้น มาจากสาเหตุโกรธเคืองกัน  ย่อมเป็นกรณีร้ายแรง  เพราะกฎหมายให้มีการแสวงหาพยานหลักฐาน ไม่ใช่เบิกความตามความพึงพอใจ หรือ มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน  ในกรณีที่มีฟ้องร้องกลั่นแกล้งกันหลายคดี

              ดังนั้น  การเบิกความให้เป็นไปตามความจริงและเบิกความไปตามพยานหลักฐาน จักทำให้เป็นเครื่องปกป้องตัวเอง ให้ไม่ต้องถูกลงโทษตามกฎหมายครับ

จัดพิมพ์โดย

ทนายความตรีสุพจน์ ตันตยาภิรมย์กุล

#ทนายความ #ทนายความตรีสุพจน์ #รับปรึกษาเพื่อต่อสู้คดีอาญา


บทความที่เกี่ยวข้อง
เหตุฟ้องหย่าเพราะถูกทำร้ายร่างกาย  ได้หรือไม่ ?
การที่คู่สมรสตามกฎหมาย แล้วภายหลังที่อยู่กินกันฉันสามีภริยา มีเหตุทำให้ทะเลาเบาะแว้งกัน จนทำให้มีการทำร้ายร่างกายเกิดขึ้น เหล่านี้ เป็นเหตุเพียงพอให้ฟ้องหย่า และเรียกร้องค่าเสียหายได้หรือไม่ และจะเรียกค่าเสียหายได้จำนวนเท่าไร?
8 ก.ย. 2025
การยื่นจัดการมรดกของต่างชาติ ที่มีถินที่อยู่ในประเทศไทย  ต้องดำเนินการอย่างไร ?
การที่ต่างชาตินั้นเข้ามามีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ไม่มีว่าจะเข้าประกอบกิจการ หรือเข้ามาสมรสกับคนไทย ซึ่งอยู่อาศัยด้วยกันในประเทศไทย เมื่อมีเหตุจำเป็นต้องวางแผนการจัดการทรัพย์สินของต่างชาติ ภายหลังชีวิตแล้ว จะมีการดำเนินการอย่างไร และต่างชาติสามารถทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินอย่างไร ได้บ้างตามกฎหมายของประเทศไทย
6 ก.ย. 2025
ข้อบังคับการทำงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง มีความสำคัญอย่างไร?
เมื่อนายจ้างมีสถานประกอบกิจการ และมีการรับลูกจ้างพนักงานเข้าทำงาน ตามสัญญาจ้างแรงงานแล้ว บางครั้งการจะระบุข้อกำหนด หรือข้อตกลง อันเป็นรายละเอียดในการทำงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้างในสัญญาจ้างแรงงานย่อมกระทำได้ยาก และจะเป็นการวุ่นวายมาก อาจทำให้สัญญาจ้างแรงงานนั้นมีจำนวนหลายหน้าและมีความสลับซับซ้อนในการจ้างแรงงานได้ ถ้าแยกสัญญาจ้างแรงงานและข้อบังคับการทำงาน เป็นเอกสารคนละชุดกัน ย่อมเป็นประโยชน์ในการจ้างแรงงานได้ตามกฎหมาย ทั้งนี้ ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง
6 ก.ย. 2025
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy